และแล้ววันผ่าตัดครั้งแรกที่รอคอยก็มาถึง
16 ธันวาคม ปะป๊ากับแม่และเหล่าอากู๋,อากิ๋ม,ยาย และอาอี๊มาส่งภูผากันที่โรงพยาบาลรามา เพราะว่าเราต้องมานอนพักก่อนเข้ารับการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ เราไปติดต่อที่ผู้ป่วยในและได้ขึ้นไปพักที่ชั้น 6 หวอด 5 น่าจะเป็นหวอดเด็ก ที่ตึกศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ ภายในห้องพักเหมือนโรงแรมเลย ค่อนข้างสะอาดและดูดี พร้อมกับมีวิวด้านนอกที่เป็นสวนปลูกต้นไม้ด้านนอกอีกด้วย ภูผาใส่เสื้อของโรงพยาบาลแบบทารก และ พยาบาลก็เข้ามาวัดความดันทุกๆ 3 ชั่วโมง ปะป๊ากับแม่ก็อยู่นอนเฝ้าภูผากันสองคน ภูผาก็ยังคงร่าเริง และคุยเก่งเหมือนเดิมแต่ในวันรุ่งขึ้นนั้นกลับตรงกันข้ามเลย
17 ธันวาคม ภูผาต้องอดนมก่อนการผ่าตัด 4 ชั่่วโมงคือเวลาตั้งแต่ตี 5 ห้ามกินนม แม่เลยปลุกภูผามากินนมตั้งแต่ตอนตี 3:30 ภูผากินไปประมาณ 3-4 ออนซ์ แม่ให้ภูผานอนที่อกแม่เพื่อไม่ให้ภูผางอแงและนอนได้นานขึ้น ประมาณ 7:30 พยาบาลห้องผ่าตัดมารับตัวภูผาเข้าไปที่ห้องผ่าตัด ภูผาก็ตื่นและร้องช่วงนั้นพอดี โดยแม่นั่งรถเข็นแล้วก็อุ้มภูผาเข้าไปด้านใน ภูผาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อผ่าตัดและแม่สามารถเข้าไปส่งได้ถึงข้างในเตียงผ่าตัด แม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปด้วย ส่วนปะป๋าอยู่ด้านนอก แม่เข้าไปด้านในห้องเตรียมเพื่อรอเวลาเข้าห้องผ่าตัด แม่อุ้มภูผาเอาไว้ตลอดภูผาก็ร้องไห้ตลอดเลย น่าจะเป็นเพราะว่าภูผาหิวนมแล้วหล่ะ
เวลาประมาณ 8:30 พยาบาลเรียกเข้าห้องผ่าตัด แม่และภูผาเราสองคนสำรวจห้องผ่าตัดว่ามีอุปกรณ์ใช้สำหรับผ่าตัดเยอะมาก ที่แปลกคือว่าตอนเข้าห้องผ่าตัดภูผากลับไม่ร้องไห้เลย สงสัยตื่นตาตื่นใจได้เห็นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ แม่รอซักพักแม่ก็ได้เจอกับคุณหมอผ่าตัด(อาจารย์ เฉลิมพงษ์) อาจารย์หมอเอาเพดานเทียมออก และเตรียมเฝือกให้ภูผาระหว่างที่รอหมอวิสัญญี พอหมอวิสัญญีมาถึงก็บอกให้แม่อุ้มภูผาไปนอนบนเตียงผ่าตัด แล้วหมอก็เอาเหมือนที่ครอบออกซิเจนมาใส่ครอบจมูก แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาขึ้นไป ไม่ถึงนาทีภูผาก็หลับ คุณหมอก็ให้แม่ออกมารอด้านนอก ก่อนที่แม่จะออกไปแม่ได้บอกกับอาจย์เฉลิมพงษ์อีกครั้งว่าอย่าลืมให้ตัดพังพืดใต้ลิ้นด้วย อาจารย์บอกว่าขอบคุณมากที่เตือน
ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง พยาบาลเรียกแม่เข้าไปในห้องผ่าตัด แม่เดินไปหาภูผาที่ห้องพักฟื้น เสียงร้องของภูผาดังมาก แม่เลยเดินตามเสียงไปหาลูก แม่เห็นหน้าภูผาครั้งแรกหลังผ่าตัด ความรู้สึกแม่งงนะ หน้าภูผาบวมๆ ปากบวม ในปากมีคราบเลือดเต็มเลย ตาก็บวม เพราะว่าร้องไห้เยอะแน่ๆ พยาบาลบอกให้แม่อุ้มภูผา เพราะว่าไม่มีอุ่นใดเหมือนอุ่นของแม่ ภูผาจะได้รู้ว่ามีแม่อยู่ข้างๆ แม่อุ้มภูผาซักพัก พยาบาลก็ให้แม่ถือท่อออกซิเจน ให้ภูผาดม เพราะว่าภูผาร้องไห้เยอะมาก แม่ใจคอไม่ดีเท่าไหร่ แต่แม่คิดในใจว่าลูกแม่เข้มแข็งอยู่แล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ความเจ็บปวดอยู่กับภูผาไม่นานหรอก หมอวิสัญญีเข้ามาคุยกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงภูผาหรอกนะ ภูผานะหิว ไม่ได้เจ็บอะไร ทุกส่วนที่หมอผ่าตัดมียาชาหมด ตอนนี้ยาชายังไม่หมดฤทธิ์ แม่รู้สึกใจชื่นขึ้นมาหมอวิสัญญีพูดกับแม่ว่า อาจารย์ผ่าตัดให้ภูผาออกมาสวยมากทั้งด้านนอก และด้านใน แม่แอบดีใจ สักพักอาจารย์ เฉลิมพงษ์เดินเข้ามาและบอกว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ภูผาจะร้องงองแงจนถึงประมาณเย็นวันพรุ่งนี้ ถึงจะเริ่มกินนมได้ดีขึ้น และอีกสักพักหนึ่งก็ให้นมภูผากินได้เลย และอาจารย์ก็ออกไป ผ่านไปสักพักภุผาก็ยังไม่เงียบพยาบาลก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปบอกป๊าให้ไปเอานมมาให้ภูผากิน ปะป๊าก็เลยขึ้นไปเอานมบนห้องลงมา แม่รู้สึกว่าป๊าขึ้นไปเอานานมากเพราะว่าระหว่างนั้นภูผาดิ้นไปดิ้ินมา ถีบสายน้ำเกลือที่ติดไว้ที่เท้าออก ทำให้เลือดไหลเต็มเสื้อแม่ พยาบาลรีบช่วยกันแก้ไข แม่รอไม่ไหวก็เลยไปยืนรอป๊าที่หน้าห้องผ่าตัด พอป๊ามาถึง ป๊าก็ตกใจ เห็นเสื้อแม่มีเลือดไหล ป๊าก็ถามว่าโอเคมั๊ย แม่ก็บอกว่าโอ แล้วแม่ก็รีบเอานมไปให้ภูผากิน พยาบาลให้แม่เอานมใส่syling ให้ภูผากิน ในใจแม่คิดว่าวิธีนี้ภูผากินไม่ได้แน่นอน ด้วยนิสัยที่กินเร็วและเยอะมานั่งกินที่ละ 1 ml แบบนี้คงไม่ดีแน่ แต่ก็คงไม่มีวิธีใดดีกว่านี้แล้วแหละ เพราะว่าหมอห้ามดูดขวดนมเด็ดขาด แม่ให้นมไปได้สัก 5 ml ภูผาก็เงียบลง แม่ก็ร้องเพลงกล่อมภูผาจนภูผาหลับ คราวนี้ พยาบาลก็บอกว่าคงต้องเจาะให้น้ำเกลือภูผาใหม่ เพราะว่าภูผายังกินนมไม่ค่อยได้ ภูผาเจ็บอีกแล้วลูก ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พยาบาลก็แจ้งว่าเดี๋ยวจะให้ไปพักที่ห้องพักได้แล้ว ตอนนั้นก็เกือบเที่ยงแล้วแหละ แม่อุ้มภูผานั่งรถเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดเห็นป๊ากับยายนั่งรออยู่หน้าห้อง คงกำลังรอลุ้นอยู่ละมั้ง
ปะป๊าว่าคุณหมอเขาเย็บสวยเชียว ตอนนั้นยังดูบวม ๆ อยู่ตรงด้านหน้าซีกซ้ายของภูผาบริเวณริมฝีปากกับจมูก ตรงแก้มมีรอยเลือดแดง ๆ น่าจะคุณหมอเอาอะไรมาแปะไว้ แล้วตอนลอกออกแล้วมันทำให้เป็นแผล เหมือนตอนที่แม่ลอกเทปออกจากหน้าภูผาแล้วมันเป็นแผลนั่นแหละ ปะป๊าว่าดูหน้าตาภูผาก็เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนที่ใส่เพดานเทียมอีกนะ ภูผาหน้าตาจริง ๆ เป็นแบบนี้เหรอ น่ารักเชียววุ๊ย พอขึ้นไปที่ห้อง ภูผาก็ร้องเป็นระยะ ๆ ซึ่งปะป๊ากับแม่ไม่รู้เลยว่าภูผาหน่ะ หิวหรือว่าเจ็บแผลกันแน่ แต่พยาบาลให้ยาแก้ปวดทางสายน้ำเกลือ 1 ครั้ง ซึ่งภูผายังกินได้ไม่เยอะ ปะป๊ากับแม่ก็ลองใช้ขวดนมพิเศษ ซึ่งมันไหลเยอะมากเลย แค่คว่ำขวดนมลงก็ไหลแล้ว ต่างกับไซริงค์ที่สามารถค่อย ๆ บีบออกมาทีละหยดได้ แต่ว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ด้วยนิสัยการกินของภูผา ด้วยความเจ็บปวด และด้วยท้องภูผาที่น่าจะอืดและยังรับนมที่กินไปไม่ค่อยได้ ปะป๊ากับแม่ก็อุ้มภูผาเกือบจะตลอดเลยในช่วงที่ภูผาตื่น และตอนนอนก็พยายามให้ภูผานอนที่อกเพื่อให้ภูผานอนได้นานขึ้น ภูผาร้องไห้น่าสงสารมาก ๆ เลย ร้องจนตาบวมเพราะว่าตอนร้องน้ำตาภูผาก็ไหลตลอดเวลาเลย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ถ้าร้องหิวนมก็จะร้อง ๆ แต่น้ำตาไม่ค่อยมี ภูผาอาจจะเจ็บปากแล้วก็คงเจ็บลิ้นด้วย เพราะว่าผ่าตัดพังผืดใต้ลิ้น แล้วดูภูผายังไม่คุ้นกับลิ้นที่ไม่มีพังผืด เพราะว่าภูผากระดกลิ้นตลอดเวลาเลยตอนร้อง ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่กอดภูผาแน่น ๆ ให้รู้ว่าปะป๊ากับแม่ก็อยู่ใกล้ ๆ หนูอยู่นะ เอาใจช่วยภูผาอยู่ แต่ยังไงภูผาก็ผ่านมันมาได้ ภูผาอดทนและเก่งมาก ๆ เลยนะรู้ตัวมั๊ยลูก วันแรกภูผากินไปได้ประมาณ 6 ออนซ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนผ่าตัดจะได้ประมาณ 24-28 ออนซ์ จึงต้องให้น้ำเกลือภูผาต่อไปจนข้ามคืนไปอีก 1 วัน หลังจากฉีดยาแก้ปวดเข้าทางสายน้ำเกลือ หลังจากนั้นพยาบาลเปลี่ยนเป็นให้ยาแก้ปวดโดยการกินแทนเป็นพาราเซตามอลแบบน้ำ กินไปสองครั้ง ครั้งที่ 2 ปะป๊าไม่ค่อยอยากให้ภูผากินยาเยอะ ๆ แต่แม่ทนไม่ไหว เพราะว่าภูผาร้องเหลือเกิน แม่คิดว่าคงไม่ใช่ร้องหิวแล้วหล่ะ น่าจะร้องปวดมากกว่าเลยขอยาพยาบาล ภูผาถีบสายผ้าเทปที่พันขาภูผาเพราะว่าต้องดามเอาไว้ให้น้ำเกลือที่ขาจนมันหลุดไป 2 ครั้ง พยาบาลต้องมาทำให้ภูผาใหม่ ภูผากับแม่นอนเตียงโรงพยาบาลาง ๆ กันข้าง ๆ กัน
รุ่งขึ้นปะป๊าตื่นมาเห็นภูผาตื่นพอดี ภูผาน้ำตาคลอ ๆ แล้วก็มองหน้าปะป๊า แววตาใสซื่อคู่นั้นทำให้ตอนนั้นปะป๊ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เลย รู้สึกสงสารภูผาจับใจ แม่ก็บอกว่าเมื่อคืนเห็นภูผาตื่นขึ้นมาเหมือนกัน เห็นภูผามองแม่ แม่ก็คิดโทษตัวเองว่าทำไมภูผาตื่นมาแล้วแม่ถึงไม่รู้ แม่สงสารภูผาก็ร้องไห้ออกมา สรุปแล้วคืนนั้นปะป๊ากับแม่ก็ร้องไห้โดยไม่ได้นัดหมายกันเลย
วันนี้ภูผากินได้ค่อนข้างเยอะขึ้นแล้วหล่ะ ตอนเช้าก็ยังพอกินได้ดีขึ้นบ้างจากเมื่อวาน แต่พอถึงตอนเย็นภูผาก็เริ่มฟื้นกลับมาเป็นภูผาที่กินเยอะและร่าเริงพูดเก่งถึงจะยังไม่เหมือนเดิมทีเดียว แต่ก็มีท่าทีที่ดีขึ้น ปะป๊ากับแม่ก็สบายใจแล้วหล่ะ ตอนบ่าย ๆ ภูผาดิ้นอีกตามเคย แล้วสายน้ำเกลือมันก็หลุดจากขาภูผา เอาหล่ะ จะต้องเจาะใหม่รึเปล่า เพราะว่าการเจาะน้ำเกลือเด็กทารกเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะ โดยเฉพาะภูผาที่ดิ้นเก่งมาก สรุปแล้วพยาบาลโทรหาอาจารย์หมอ อาจารย์หมอบอกว่าไม่ต้องให้น้ำเกลือแล้วหล่ะ โชคดีไปว่าภูผาไม่ต้องเจ็บตัวอีก วันนี้สรุปแล้วภูผาก็กินไปได้ 12 ออนซ์เลยนะ ครึ่งนึงของที่เคยกินที่บ้านเลยหล่ะ คุณหมอเข้ามาเยี่ยมภูผาตอนประมาณ 1 ทุ่ม ก็ดูแผลภูผาและบอกว่าพรุ่งนี้คงจะกลับบ้านได้แล้วหล่ะ และบอกว่าเฝือกที่ใส่เนี่ยใส่แค่ 7 วัน หลังจากนั้นก็เอาออกได้ แล้วก็กินขวดนมปกติได้เลย ส่วนที่มีเมือกเคลือบปิดตรงแผลตั้งแต่ตอนผ่าตัดนั้นไม่เป็นไร มันเอาไว้กันน้ำนม กลับบ้านก็เอาน้ำเกลือค่อย ๆ เช็ด
รุ่งขึ้นวันสุดท้ายของการนอนโรงพยาบาล ปะป๊าไปทำงานครึ่งวัน อาจารย์หมอเข้ามาเยี่ยมภูผาตอนช่วงเช้า ดูแผล และชมภูผาด้วยนะว่าจมูกของภูผาหน่ะขึ้นดีเลย เด็กน้อยคนที่จะขึ้นได้ดีขนาดนี้ และยังฝากชมไปยังหมอฟันที่ทำเพดานเทียมให้กับภูผาด้วยหล่ะ แม่ก็เลยภูมิใจที่ความพยายามของแม่นั้นได้ผล หลังจากนั้นก็ไปจ่ายเงินและแต่งตัวให้ภูผาเพื่อออกจากโรงพยาบาล ได้ยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบให้ภูผากินตอนอยู่ที่บ้าน แล้วประมาณบ่ายโมงกว่าปะป๊าก็มารับภูผากลับบ้าน
ช่วงอยู่บ้านก็กินนมโดยใช้ขวดนมพิเศษและยังสลับกับการใช้ไซริงค์เหมือนเดิม เพราะว่าบางทีภูผากินขวดนมพิเศษที่นมไหลมาก ๆ ก็สำลัก ก็ต้องให้ไซริงค์ แต่บางทีให้ไซริงค์แล้วนมไหลไม่ท้นใจภูผาก็ร้องไห้อีก แต่หลัง ๆ ภูผากลับชอบกินยาแก้อักเสบที่ให้ผ่านไซริงค์ น่าจะเป็นเพราะว่ามันมีรสหวาน ๆ ภูผาคงชอบ บางทีร้อง ๆ แต่พอให้กินยาก็หยุดร้องแล้วก็กินยาใหญ่เลย ก็ฉวยจังหวะโอกาสนี้เอาไซริงค์ดูดนมให้ภูผากินไปด้วยทีเดียวเลย ภูผาก็กลับมากินได้ประมาณ 18-20 ออนซ์ต่อวันแล้วหล่ะ
พุธที่ 26 ธันวา พอภูผาไปถอดเฝือก อาจารย์หมอบอกว่าสามารถกินนมได้ตามปกติแล้ว ภูผาเอามือเข้าปากหรือจมูกได้ไม่เป็นไร ส่วนที่มีเมือกเคลือบปิดตรงแผลยังพอมีอยู่ ก็เอากรรไกรตัดเล็บเล็มตรงที่มันกำลังจะหลุดก็ได้ เอาน้ำเกลือเช็ด เดี๋ยวมันก็จะหลุดออกไปเอง และอาจารย์หมอดูจมูกแล้วก็บอกกับปะป๊าว่าถ้ามองจมูกจากทางด้านบนหรือด้านหน้าจะดูเท่ากันนะ แต่ถ้ามองแหงนขึ้นไปดูรูจมูกจะดูว่ามันยังไม่เท่ากัน รูจมูกด้านซ้ายของภูผาจะเหมือนมีเนื้อเล็ก ๆ ลงมาปิด ซึ่งมันจะเป็นแบบนี้ต่อไป โตขึ้นกว่านี้ก็จะยังเห็น เดี๋ยวเราค่อยมาตัดแต่งกันตอนช่วงอายุที่จะต้องทำการตัดแต่งจมูกประมาณอายุ 6 ขวบ อาจารย์หมอบอกว่าขั้นต่อไปก็เหลือผ่าตัดเพดาน อาจารย์ถามว่าภูผาเกิดวันไหน ปะป๊าบอกว่า 6 กันยา อาจารย์หมอเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นผ่าตัดเพดานก็น่าจะประมาณ สิงหาหรือกันยาปีหน้า 2556 อาจารย์นัดภูผามาดูอีกที 4 เดือนนับจากนี้ ก็ตรงกับวันที่ 24 เมษายน 2556 ซึ่งอาจารย์นัดอาจารย์หมอแผนกหู คอ จมูกเอาไว้ให้ด้วย เพื่อไปให้อาจารย์หมอเชคว่า หูปกติรึเปล่า ปะป๊าเลยบอกว่าเรื่องนี้แม่กังวลใจอยู่ อาจารย์เลยบอกว่าหูผิดปกติมีหลายแบบ หูหนวกแต่กำเนิด หรือแบบที่สองคือเกิดมาปกติ แต่ก็จะค่อย ๆ เป็นหูอักเสบ หูน้ำหนวก ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าแบบหลังเนี่ยสามารถรักษาได้ไม่น่าเป็นห่วง ปะป๊าเลยบอกว่าเคยตรวจการได้ยินมาตอนเกิดใหม่ ๆ แล้วภูผาได้ยินข้างเดียว แต่จำไม่ได้ว่าเป็นข้างไหน อาจารย์เลยบอกว่าไม่เป็นไร ตอนนั้นน่าจะตรวจแบบหยาบเดี๋ยวคราวหน้าที่ไปหาหมอ หู คอ จมูก คงได้ตรวจแบบละเอียดอีกครั้ง ถ้าผิดปกติหรือว่าต้องมีการผ่าตัด จะได้ผ่าตัดพร้อมกันทีเดียวไปเลยตอนที่ทำเพดานเทียม